KUNGFU PANDA 4
โป นักรบมังกรหุ่นหมี (ก็แหง นี่หมีแพนด้า…) แห่งหุบเขาสันติกลับมาอีกครั้งแล้วครับใน ‘Kung Fu Panda 4’ ที่ห่างจาก ‘Kung Fu Panda 3’ (2016) ห่างจากภาคก่อนหน้าถึง 9 ปี จนนึกว่าจะไม่มีภาคต่อแล้วด้วยซ้ำ และถ้านับจากภาคแรกที่ฉายในปี 2008 แฟรนไชส์นี้ก็จะมีอายุครบ 16 ปีพอดิบพอดี ซึ่งในภาคนี้ ไมค์ มิตเชลล์ (Mike Mitchell) ผู้กำกับจาก ‘Trolls’ (2016) และ ‘The Lego Movie 2: The Second Part’ (2019) เลื่อนขึ้นมานั่งแท่นกำกับแล้วครับ หลังจากที่เคยทำหน้าที่เป็น Executive Producer ให้กับ ‘Kung Fu Panda 3’ มาก่อน
นอกจากนี้ยังได้ 2 มือเขียนบทเจ้าประจำ โจนาธาน เอเบล (Jonathan Aibel) และ เกล็นน์ เบอร์เกอร์ (Glenn Berger) จาก 3 ภาคแรก และ ดาร์เรน เลมเก (Darren Lemke) จาก ‘Shrek Forever After’ (2010) มาร่วมกันเขียนบท ส่วนในพาร์ตสกอร์ ก็ยังคงได้คอมโพสเซอร์แห่งยุคอย่าง ฮันส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) ที่ทำสกอร์ให้ทุกภาคเป็นตัวยืน และ สตีฟ มาซซาโร (Steve Mazzaro) ที่มาร่วมงานในภาคนี้ ส่วนทีมพากย์ในเวอร์ชันต้นฉบับก็ยังคงเป็นทีมเดิม ทั้งเฮีย แจ็ก แบล็ก เจ้าของเสียงโป และ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน พากย์เสียงเป็นอาจารย์ชิฟู
เรื่องราวในภาคนี้จะเล่าเรื่องของ โป (พากย์เสียงโดย แจ็ก แบล็ก – Jack Black) ที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่นักรบมังกร ศิษย์เอกของอาจารย์ชิฟู (พากย์เสียงโดย ดัสติน ฮอฟฟ์แมน – Dustin Hoffman) แค่เพียงอย่างเดียวแล้ว แต่หลังจากที่เขาได้รับการสืบทอดไม้เท้าแห่งภูมิปัญญาจากอาจารย์อูเกว เขาจึงต้องเลื่อนขึ้นขึ้นมาเป็นผู้นำจิตวิญญาณของหุบเขาสันติ เสี่ยวโปเลยต้องเจองานเข้า เพราะนอกจากเขาจะต้องเรียนรู้การเป็นผู้นำจิตวิญญาณให้ได้แบบเดียวกับอาจารย์อูเกวแล้ว เขายังต้องออกค้นหาผู้สืบทอดตำแหน่งนักรบมังกรคนใหม่ขึ้นมาแทนอย่างเร่งด่วน
เพราะในตอนนี้ กิ้งก่าแปลงกาย (พากย์เสียงโดย ไวโอลา เดวิส – Viola Davis) วายร้ายจอมขมังเวทย์ ผู้มีพลังในการแปลงร่างเป็นใครก็ได้ กำลังแฝงตัวแปลงกายเพื่อหวังครอบครองพลังแห่งภูมิปัญญา ที่จะทำให้นางสามารถดึงเอาพลังจากบรรดามหาวายร้ายที่โปเคยส่งลงไปยังโลกวิญญาณ ทั้ง ไค, อ๋องเชน และ ไต้ลุง (พากย์เสียงโดย เอียน แม็กเชน – Ian McShane) มาเป็นของตัวเองให้ได้ โดยมี เจิน (พากย์เสียงโดย อะควาฟินา – Awkwafina) นางจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ พร้อมกับบรรดาเตี่ย ๆ ของโป ทั้ง อาหลี่ (พากย์เสียงโดย ไบรอัน แครนสตัน – Bryan Cranston) เตี่ยแพนด้า และ อาปิง (พากย์เสียงโดย เจมส์ ฮอง – James Hong) ป๊าห่านเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว คอยติดตามไปร่วมกำราบนางกิ้งก่าด้วย
แม้ว่าตัวเรื่องราวจะห่างหายไปจากภาคก่อนหน้าค่อนข้างไกลมาก แต่ด้วยทีมงานชุดเดิมที่ส่วนใหญ๋ก็ยังคงอยู่ ก็เลยทำให้ในภาคนี้ไม่ได้มีอะไรที่โดดหลุดไปจากภาคก่อน ๆ นะครับ โดยเฉพาะทางมุกหรือบรรยากาศโดยรวม นอกจากงานด้านภาพที่มีรายละเอียดและลูกเล่นมากขึ้น รวมถึงจังหวะมุกฮาในหนังที่ถือว่ายังทำได้ดีนะครับ เรียกว่าไม่ได้ผิดหวังไปจากภาคอื่น ๆ เลย
ในขณะที่ภาคนี้เริ่มจะขยายเรื่องราวออกไปไกลกว่าการต่อสู้ปกป้องหุบเขาสันติเหมือนในภาคอื่น ๆ มีความเป็นกึ่ง ๆ หนังผจญภัย Road Movie มีอุปสรรคให้ประมือไปตลอดทางก่อนจะไปถึงรังของนางกิ้งก่า ยิ่งพอผสมกับทางพล็อตแบบหนังจอมยุทธยุคเก่า ๆ ยิ่งฉากเยือนโรงเตี๊ยมแล้วต่อสู้กันนี่คือโคตรใช่ และมีการเพิ่มเส้นเรื่องรองคือฝั่งพ่อ ๆ ทั้งอาหลี่กับอาปิง ที่ขโมยซีนขโมยฮาได้เรื่อย ๆ เรียกกราฟไม่ให้หัวตกได้ค่อนข้างดี
ในแง่ของความสนุก ก็ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ไปจากภาคก่อน ๆ นะครับ ถ้าว่ากันตรง ๆ ก็คือตัวเนื้อเรื่องก็ยังเพลย์เซฟ มีความเป็นสูตรสำเร็จในแบบภาคอื่น ๆ อยู่พอสมควรนั่นแหละ แต่พอมองจากสายตาของหนังแอนิเมชัน ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดูง่าย สูตรจังหวะคาแรกเตอร์โก๊ะ ๆ เปิ่น ๆ ของโป และสถานการณ์ป่วน ๆ ก็ยังคงเรียกเสียงฮาได้แบบลั่นโรงเช่นเคย และพอยิ่งมีฉบับพากย์ไทยก็เรียกได้ว่าเหมาะเจาะดีทีเดียว ทั้งโป ที่พากย์เสียงโดยพี่เชาเชา (ชวลิต ศรีมั่นคงธรรม) ที่ยังคงใส่ความเป็นโป กับความเป็นตัวเองลงไปนิด ๆ ได้อย่างพอกลมกล่อม รวมทั้งทีมพากย์ภาษาไทยทุก ๆ ท่านที่ถือทำได้ออกมาดีเยี่ยมเลยล่ะ (มีมุกเฉพาะพากย์ไทยด้วยนะครับ ลองไปหาดู)
อีกจุดที่ถือว่าทำได้ดีและแตกต่างจากภาคอื่น ๆ อย่างชัดเจนก็คือบรรดาฉากแอ็กชันครับ ที่คราวนี้พูดได้ค่อนข้างเต็มปากแล้วแหละว่าเป็นฉากบู๊ที่ผู้ใหญ่ก็ดูได้จริง ๆ เพราะในหนังมีฉากให้โปต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ อย่างที่เรียกว่าจัดเต็มมากขึ้นตลอดทั้งเรื่อง และเป็นฉากแอ็กชันที่ออกแบบมาได้อย่างลื่นไหลและดูเพลิน ไม่ได้เล่นกันซอฟต์ ๆ เบา ๆ เหมือนอย่างภาคอื่น ๆ
ในขณะที่ฉากต่อสู้กับวายร้าย อย่างที่รู้กันว่า 3 ภาคก่อนหน้าแม้ว่าจะค่อนข้างเน้นฮาเป็นหลัก มีความขี้โกงนิด ๆ ด้วย คือเมื่อไหร่ที่โปใช้ดัชนีวูชิ วายร้ายเมพขิง ๆ แค่ไหนก็ตายเรียบ แต่ภาคนี้ถือว่าแก้จุดอ่อนได้ดีเลย คือแม้ว่านางกิ้งก่าจะขโมยพลังคนอื่นมา แต่ฉากการปะทะของโป+เจิน กับนางกิ้งก่าแปลงกาย ก็ยังถือว่ามีความพอฟัดพอเหวี่ยง สมน้ำสมเนื้อ มีอะไรให้พอได้ลุ้นอยู่ แม้จะรู้ปลายทางสุดท้ายอยู่แล้วก็เถอะนะ
ความฮากับแอ็กชัน และบรรดาข้อคิดคติสอนใจ และการแฝงปรัชญาตะวันออกเอาไว้ ก็ถือว่าเป็นแก่นกลางที่ ‘Kung Fu Panda’ ทุกภาคทำได้ดีคงเส้นคงวามาโดยตลอด ในขณะที่ภาคนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการจะสื่อสารเรื่องของการโอบรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้ายล้วนแต่ทำให้เราเติบโตขึ้นได้เสมอ รวมถึงเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน แต่สิ่งที่ภาคนี้อาจจะยังสู้ภาคเก่า ๆ ไม่ได้ก็คือพาร์ตดราม่า ที่มันอาจจะไม่ได้ถึงกับขยี้จนเจ็บตับนักหรอก แต่พอหนังค่อนข้างมุ่งไปทางแอ็กชันและตลก ตัวเรื่องก็เลยไม่ได้มีจังหวะซึ้ง ๆ ตรึงใจที่เป็นจุดจำ จุดประทับใจ ความอบอุ่นบางอย่างได้เทียบเท่ากับภาคก่อน ๆ
ในขณะที่ก็ต้องยอมรับว่า คนดูแฟรนไชส์นี้คงย่อมอยากเห็นตัวละครที่พวกเขาชื่นชอบมาอยู่ด้วยกันเยอะ ๆ นั่นแหละ แต่มันก็เหมือนเป็นเรื่องรักพี่เสียดายน้องนิด ๆ เพราะพอหนังเลือกเดินไปยังเส้นทางใหม่ การถอยลงไปเป็นตัวละครสมทบของตัวละครแก๊ง 5 ผู้พิทักษ์ ทั้ง ไทเกรซ (นางพยัคฆ์), กระเรียน, วานร, อสรพิษ และตั๊กแตน ที่ผู้ชมคุ้นเคยและจำคาแรกเตอร์ได้มากกว่าเลยเป็นตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนกับบรรดาตัวละครใหม่ ๆ ที่รู้สึกว่ายังสร้างความประทับใจได้ไม่เทียบเท่า ที่ชัดก็คือนางกิ้งก่า ที่มีความน่ากลัว แต่ก็เป็นพลังที่ขโมยมาจากวายร้ายตัวอื่น ๆ เหมือนกับ ไค (Kai) ในภาค 3 ที่ขโมยพลังมาเก็บไว้กับตัวได้ ในแง่หนึ่งมันก็เป็นไอเดียในการรียูเนียนตัวละครเก่า ๆ ได้ดี แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็ทำให้คาแรกเตอร์นางกิ้งก่าดูน่าจดจำน้อยลงไปด้วย
แล้วด้วยความที่หนังมีการส่งต่อตำแหน่งนักรบมังกร แม้ว่าจริง ๆ จะจับทางได้แหละว่ายังไง ๆ ก็ต้องมีภาค 5 แน่นอน แต่จะออกมาเป็นรูปแบบไหนก็ยังสุดจะเดา แต่ตัวหนังก็ค่อนข้างจะมีความเป็น Farewell เล็กน้อยอยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้ามองมุมนี้ก็แอบน่าเสียดายนิด ๆ ที่ตัวหนังยังกั๊ก ๆ ไม่ได้เห็นจังหวะเซอร์ไพรส์ของการส่งต่อการเป็นนักรบมังกรไปสู่คนใหม่ที่สมน้ำสมเนื้อกับการต่อสู้ของโปทั้ง 4 ภาคสักเท่าไหร่ มีอาการรีบเล่ารีบจบอยู่พอสมควร ส่วนตัวเชื่อว่าถ้ายังมีภาค 5 ก็อาจจะเป็นโจทย์ที่โหดหินอยู่สักหน่อยสำหรับทีมงานในการสร้างคาแรกเตอร์ สร้างความคุ้นเคยให้คนชื่นชอบได้เหมือนกับที่โปเคยทำได้ และรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ต่อไปได้เรื่อย ๆ ในทุก ๆ ภาค
มันอาจจะพร่องไปบ้างในบางจุดตามประสาแฟรนไชส์ที่อาจจะไม่ได้สดใหม่เหมือนภาคแรก ๆ แล้ว และเชื่อว่าสตูดิโอเองก็คงปวดหัวไม่น้อยแหละว่าภาคต่อหลังจากนี้จะบิดไปทางไหนได้อีกให้คนดูไม่เบื่อ แต่เหนือสิ่งอื่นใด นี่คือหนังแอนิเมชันที่ยังคงเหมาะเหม็งที่จะพาทั้งครอบครัวดูกันได้แบบไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นครับ เด็กดูก็ได้สนุก ผู้ใหญ่ดูก็ได้บู๊ ใคร ๆ นั่งดูก็ได้ฮากันบึ้ม ๆ เป็นแอนิเมชันที่เหมาะเหม็งสำหรับครอบครัว และในแง่ของการระลึกภาคเก่า ๆ และเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ก็คงเหมาะสำหรับแฟนเดนตายที่ติดตามแฟรนไชส์นี้มาตลอดแบบไม่ต้องสงสัยเลยครับ เพียงแต่ว่าภาคนี้อาจจะคาดหวังมุกที่โคตรน่าจดจำแบบเดียวกับ “เตี่ยมีปีกโป…” ได้ยากนิดหน่อยน่ะนะครับ
อ้อ… ไม่มีฉาก Mid-Credit ท้ายเรื่อง แต่มีฉากระหว่างไตเติลให้ได้ชมกันต่ออีกนิดหน่อยนะครับ