Super Mario Bros. Movie ภาพยนตร์แอนิเมชัน 3D ที่สร้างจากเกมซูเปอร์มาริโอ้สุดคลาสสิก นำเสนอการผจญภัยของมาริโอ้ ลุยจิ และเหล่าผองเพื่อนในดินแดนมหัศจรรย์ เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น และอารมณ์ขัน
จุดเด่น:
- งานภาพ: ภาพยนตร์มีงานภาพที่สวยงาม สีสันสดใส ตัวละครและฉากต่างๆ ถอดแบบมาจากเกมได้อย่างสมจริง
- เสียงเพลง: ดนตรีประกอบคุ้นหู เรียกความทรงจำจากเกมในวัยเด็ก
- ความสนุกสนาน: หนังเต็มไปด้วยฉากแอ็กชัน ตลก และมุขตลกที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
- แฟนเซอร์วิส: หนังมีแฟนเซอร์วิสสำหรับแฟนๆ เกมมาริโอ้มากมาย เต็มไปด้วยตัวละคร สถานที่ และไอเท็มจากเกม
จุดด้อย:
- เนื้อเรื่อง: หนังมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเรียบง่าย เดาทางได้ ไม่มีความแปลกใหม่
- ตัวละคร: บทบาทของตัวละครรองยังไม่ชัดเจน lacking development
- ความยาว: หนังมีความยาวเพียง 1 ชั่วโมง 45 นาที อาจจะสั้นไปสำหรับบางคน
สรุป:
Super Mario Bros. Movie เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่สนุกสนาน เหมาะสำหรับแฟนๆ เกมมาริโอ้ทุกวัย หนังมีงานภาพ เสียงเพลง และฉากแอ็กชันที่ยอดเยี่ยม แต่เนื้อเรื่องอาจจะเรียบง่ายไปบ้าง
เรื่องย่อ: การผจญภัยในอาณาจักรเห็ดของมาริโอ ลุยจิ เจ้าหญิงพีช และผองเพื่อน เพื่อปกป้องอาณาจักรอันเป็นที่รักให้รอดพ้นจากวายร้าย เจ้าบาวเซอร์ ผ่านดินแดนที่แฟนเกมคุ้นเคย รวมถึงไอเทมจากเกมที่เราเคยเห็นเช่น ดอกไม้ไฟ ดาว ชุดแปลงร่าง หรือแม้แต่กระทั่งมาริโอคาร์ท ก็ถูกนำมาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
ถือว่าเป็นคู่สร้างคู่สม-คู่เวรคู่กรรมโดยแท้สำหรับค่ายเกมอย่าง Nintendo เจ้าของลิขสิทธิ์เกม ‘Mario Bros.’ และค่ายหนัง Universal Studios ผู้สร้างหนังระดับตำนานของฮอลลีวูด ที่เริ่มต้นกันไม่ค่อยสวยเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการบันเทิงเมื่อปี 1983
เมื่อทางยูนิเวอร์แซลฟ้องร้องลิขสิทธิ์ตัวละครลิงยักษ์ในเกม ‘Donkey Kong’ (1981) ว่าลอก คิงคอง ตัวละครดังในหนังคลาสสิกตัวเอง ซึ่งตอนนั้นนินเทนโดเพิ่งมาทำตลาดตะวันตกเป็นบริษัทต่างชาติตัวจ้อยที่ถ้าแพ้ยักษ์ใหญ่คือคงต้องม้วนเสื่อกลับประเทศไปเลย
และผลคือนินเทนโดเป็นฝ่ายชนะคดี และส่งผลให้บริษัทญี่ปุ่นหน้าใหม่ได้แจ้งเกิดในอเมริกาทำธุรกิจยาวนานมาจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่วงการบันเทิงหนึ่งในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังทำให้ทนายความที่ช่วยนินเทนโดชนะคดีอย่าง จอห์น เคอร์บี (John Kerby) ได้มีตัวละครและเกมของตัวเองอย่าง Kirby ด้วย
และผลพวงอีกอย่างคือทำให้ตัวละคร Jump Man ในเกม ดองกี้คอง ภาคแรกได้กลายมาเป็นตัวเอกชื่อ มาริโอ ตามชื่อของผู้สนับสนุนคนสำคัญของค่ายเกมอย่าง มาริโอ ซีเกล (Mario Segale ) ในเกม ‘Donkey Kong Jr.’ (1982) จนมีซีรีส์ของตัวเองอีกยาวไกล
ซึ่งความบาดหมางของสองบริษัทนั้นก็จบไปนานแล้วเมื่อยูนิเวอร์แซลทำหนังที่เอาเกมมาริโอมาใช้ใน ‘The Wizard’ (1989) จะเห็นว่าในแง่หนึ่งยูนิเวอร์แซลก็มีผลทางอ้อมให้กำเนิดนินเทนโดในอเมริกาและมีมาริโอที่ยิ่งใหญ่ตามมาในปัจจุบัน และนี่ก็เป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกรอบในช่วง 30 กว่าปี
เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะยูนิเวอร์แซลก็กำลังอยู่มือกับค่าย Illumination ที่ผลิตหนังซีจีแอนิเมชันชั้นดีหลายเรื่องอย่าง ‘Despicable Me’ (2010), ‘Minions’ (2015) และ ‘The Secret Life of Pets’ (2016) และมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมร่วมกับนินเทนโดในการทำธีมพาร์ก Super Nintendo World ด้วย
ความน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวสำหรับโปรเจกต์หนังที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่เรื่องนี้คือ ทางยูนิเวอร์แซลเลือกใช้ แอรอน ฮอร์วาธ (Aaron Horvath) และ ไมเคิล เยเลนิก (Michael Jelenic) ที่เป็นผู้กำกับใหม่ถอดด้ามมาทำหน้าที่สำคัญนี้
และเอามือเขียนบท แมตธิว โฟเกล (Matthew Fogel) ที่เคยเขียนบทหนังคำวิจารณ์กลาง ๆ อย่าง ‘The Lego Movie 2: The Second Part’ (2019) และ ‘Minions: The Rise of Gru’ (2022) มาเขียนบท ทำให้พอมองเห็นว่าค่ายน่าจะลุยให้หนังเน้นบันเทิงและจับกลุ่มเด็กน้อยเป็นหลักไปเลย
ซึ่งว่ากันตามตรงหนังก็ให้ความบันเทิงในระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคอเกมหรือคอแอนิเมชัน และมีลูกเล่นในการเล่าที่ดี โดยเล่าเรื่องของสองพี่น้องมาริโอกับลุยจิที่ถูกมองว่าเป็นลูกที่ไม่เอาไหน แต่ทั้งสองคนก็เชื่อว่าถ้ารวมพลังกันสองพี่น้องก็ต้องผ่านทุกอุปสรรคคำถากถางทั้งหลายไปได้ แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็หลุดเข้าไปในอาณาจักรแฟนตาซีที่วายร้ายบาวเซอร์กำลังทำลายอาณาจักรต่าง ๆ เพื่อครองโลกและเอาชนะใจเจ้าหญิงพีชแห่งอาณาจักรเห็ดไปพร้อมกัน
หนังมีการใช้ความสัมพันธ์พี่น้องที่น่าสนใจเป็นตัวตั้งต้น มาริโอพยายามพิสูจน์ตัวเองและให้กำลังใจน้องชาย ขณะที่ลุยจิก็เชื่อมั่นในพี่ชายโดยไม่ปริปากบ่นอยู่เสมอ และเมื่อหลุดไปโลกแฟนตาซีหนังก็ใช้จุดนี้ในการนำพาตัวละครมาริโอมีแรงจูงใจเพื่อไปช่วยน้องชายที่ถูกจับไปด้วยเช่นกัน
ทว่าแม้หนังจะมีซีจีที่งดงามราวกับทำให้ตัวละครในเกมมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ มีลูกเล่น ฉากหลัง กิมมิก และตัวละครมหาศาลให้ใช้ แถมเนื้อเรื่องก็เรียกว่าตามสูตรเอาท่าง่ายชนิดที่เปิดมาดูช่วงไหนก็เข้าใจเรื่องได้เลย แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เก็บไม่ละเอียดของผู้กำกับก็ทำให้หนังไม่สามารถทำให้เราอินไปได้มากพอ
หลายตัวละครขาดมิติหรือที่มาที่ไปของแรงจูงใจไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเจ้าหญิงพีชมีมุมที่เธอสามารถแสดงความอ่อนแอและต้องฝืนเข้มแข็งเพื่อปกป้องพวกเห็ด รวมถึงความขัดแย้งในใจที่เธอเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในอาณาจักรเห็ด แต่หนังก็พลาดที่จะใส่ฉากความลังเลหรือหยุดคิดไปแบบน่าเสียดาย มันเลยเห็นแต่เจ้าหญิงพีชที่ห้าวหาญแข็งกระด้างและทำอะไรไปแบบถูกบทบัญชาอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับบาวเซอร์ที่เราก็ไม่ได้เห็นว่าทำไมตัวละครนี้ถึงฝังใจในเจ้าหญิงพีชขนาดนั้น ถ้าใส่ฉากในอดีตว่าทั้งคู่เคยเจอกันตอนเด็กหรืออะไรไปก็อาจทำให้เรื่องมีมิติมากกว่านี้
หรืออย่างเจ้าเห็ดโท้ดถ้าอยู่ในมือผู้กำกับที่เล่นเป็น นี่จะเป็นคาแรกเตอร์น้อนที่ยิงมุกกระจายและขโมยซีนได้ตลอดเรื่องแน่นอน แต่ในเรื่องนี้ก็เป็นได้แค่ตัวละครประกอบฉากเสียอย่างนั้น เช่นเดียวกันกับอีกหลายตัวละครที่คงมีฉากโชว์มิติลึก ๆ หรือได้ซีนเฉิดฉายของตัวเองชัวร์ น่าเสียดายมาก
การให้เสียงพากย์ของ คริส แพรตต์ (Chris Pratt) ในบทมาริโอ และ แจ็ก แบล็ก (Jack Black) ในบทบาวเซอร์ รวมถึง เซ็ธ โรเกน (Seth Rogen) ในบทดองกี้คอง ถือว่าเป็นกลุ่มดาราที่เคยให้เสียงพากย์แอนิเมชันมาหลายเรื่องแล้วก็ทำหน้าที่ได้ดี หนังยังเลือกใช้นักแสดงที่เคยผ่านงานพากย์มาเป็นหลักในบทตัวละครอื่น ๆ ด้วย ถือว่าไม่น่าเป็นห่วงในเรื่องคุณภาพเลย แถมสำหรับคอเกมเรายังได้ยินเสียง ชาร์ลส์ มาร์ทิเนต (Charles Martinet) ที่ให้เสียงมาริโอต้นฉบับจากเกมมารับบทพ่อของมาริโอในเรื่องด้วย ก็ถือเป็นการให้เกียรติต้นฉบับอย่างมาก
ขณะที่ อันยา เทย์เลอร์-จอย (Anya Taylor-Joy) ในบทเจ้าหญิงพีช ที่เธอยังมีผลงานพากย์มาเพียงเรื่องเดียวนั้นก็ต้องบอกว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน แต่น่าเสียดายที่บทหนังไม่ได้ส่งให้เธอได้ใช้ฝีมือดึงมุมลึก ๆ ของตัวละครออกมามากนัก
นอกจากนั้นแล้วหนังก็ถือว่าทำได้สนุกมีครบทุกอย่างในความเป็นนินเทนโด แถมฉากโชว์มุมมองแบบเกมแพลตฟอร์มด้านข้างช่วงต้นของหนังยังทำให้เราเห็นภาพเลยว่าถ้าเกมมาริโออยู่ในเครื่องเล่นเน็กซ์เจนมันจะหรูหราได้อีกขนาดไหน เป็นหนังที่คอเกมและเด็กหนวดน่าจะชื่นชอบ ส่วนคอหนังแอนิเมชันทั่วไปน่าจะเพลิดเพลินแต่รู้สึกไม่สุดนัก