รีวิว “วิบัติสมรภูมิเมืองเดือดCivil War”

Civil War เป็นภาพยนตร์สงครามดิสโทเปียปี 2024 ที่เขียนบทและกำกับโดยอเล็กซ์ การ์แลนด์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทีมนักข่าวที่เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามกลางเมืองที่ต่อสู้กันระหว่างรัฐบาลกลางเผด็จการและกลุ่มภูมิภาคหลายกลุ่ม นักแสดงประกอบด้วยเคิร์สเตน ดันสท์, วากเนอร์ มูรา, เคลี สปานี, สตีเฟน แม็คคินลีย์ เฮนเดอร์สัน

Deadline ได้รายงานว่า ‘Civil War’ ภาพยนล่าสุดของสตูดิโอ A24 ที่กำลังเข้าฉายสุดสัปดาห์แรก (12 – 14 เมษายน 2024) ทำรายได้รอบพรีวิวในคืนวันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2024 ไป 2.9 ล้านเหรียญ จากการฉายใน 2,931 โรงภาพยนตร์

นันทำให้ ‘Civil War’ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้รอบพีวิวสูงสุดของ A24 แซงหน้าภาพยนตร์สยองขวัญระดับขึ้นหิ้งของผู้กำกับ อารี แอสเตอร์ (Ari Aster) อย่าง ‘Hereditary’ (2018) ที่ทำไว้ 1.3 ล้านเหรียญ

นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ‘Civil War’ อาจทำรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกไปถึง 20 ล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นสถิติใหม่ของ A24 เฃ่นกัน แซงหน้า ‘Hereditary’ ที่ทำไว้ 13.6 ล้านเหรียญ

‘Civil War’ เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดของ A24 นั่นคือ 50 ล้านเหรียญ (ยังไม่นับรวมค่าการตลาดทั่วโลกที่มีรายงานว่าสูงถึง 20 ล้านเหรียญ) จากเดิมที่เน้นสร้างภาพยนตร์ขายไอเดียฟอร์มเล็กเป็นหลัก ซึ่งมีภาพยนตร์ระดับเรือธงของสตูดิโอที่คว้ารางวัลมาแล้วหลายเรื่อง เช่น ‘Moonlight’ (2016) ที่คว้ารางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ‘Hereditary’ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญที่ดีที่สุดในรอบหลายปี และ ‘Everything Everywhere All At Once’ (2022) ที่หักปากกาเซียนด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา (รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) และยังเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทั่วโลกสูงสุดของสตูดิโอมาจนถึงทุกวันนี้

Civil War

 

สำหรับ ‘Civil War’ นั้น เป็นผลงานกำกับและเขียนบทล่าสุดของ อเล็กซ์ การ์แลนด์ (Alex Garland) ที่เคยร่วมงานกับ A24 ใน ‘Ex Machina’ (2014) ซึ่งเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของเขาและได้รับคำชื่นชมอย่างสูง

‘Civil War’ เล่าเรื่องของ นักข่าวสายทหาร 3 คน รับบทโดย เคียร์สเต็น ดันสต์ (Kirsten Dunst), วากเนอร์ มูร่า (Wagner Moura) และ เคลี สแปนี (Cailee Spaeny) ที่เดินทางข้ามรัฐเพื่อเก็บภาพและทำข่าวเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งกองกำลังนี้ต้องเร่งเดินทางให้ถึงกรุงวอชิงตันดีซีก่อนที่กลุ่มกบฐจะเข้าโจมตีทำเนียบขาว โดยตัวภาพยนตร์เน้นไปที่การสร้างบรรยากาศสงครามกลางเมืองยุคใหม่ที่สมจริงและน่ากลัว

Civil War

Civil War

ในตอนนี้ ‘Civil War’ ได้คะแนนรีวิวบน Rotten Tomatoes จากนักวิจารณ์ไป 84% และจากผู้ชมไป 86% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของสตูดิโอนี้ ซึ่งต้องติดตามว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเรียกความสนใจจากผู้ชมได้มากกว่า ‘Godzilla x Kong: The New Empire’ ในสุดสัปดาห์นี้ได้หรือไม่

 

 

สรุปแล้ว ‘Civil War’ ถือเป็นหนังสงครามที่ถ่ายทอดเรื่องราวของนักข่าวภาคสนามสงครามได้อย่างลึกซึ้ง โดยการเล่าเรื่องแล้วหนังให้ผู้ชมรับรู้ผ่านมุมมองของตัวละครและตั้งคำถามกับสงครามกลางเมืองที่แบ่งแยกประเทศด้วยความเกลียดชังจนเราอดเปรียบเปรยกับโลกความจริงที่กำลังถูกกัดกร่อนด้วยการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ศาสนาและภาษา จนเกิดสงครามตามพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ได้

จุดเด่น

  1. เป็นหนังที่ถ่ายทอดบทบาทนักข่าวสงครามได้อย่างเห็นภาพ
  2. มีฉากที่เปรียบเปรยถึงความขัดแย้งในสหรัฐอเมริกาที่ทำออกได้เห็นภาพและสะเทือนความรู้สึก
  3. การชมในระบบ IMAX คือสมจริงมากทั้งภาพและเสียง

จุดสังเกต

  1. อาจต้องทำความเข้าใจก่อนชมว่าหนังจะไปในเวย์ให้เรารู้ตามมุมมองของตัวละครและหลายฉากอาจไม่มีคำอธิบายชัดเจน

ก่อน ‘Civil War’ เข้าฉายไม่กี่วัน อเล็กซ์ การ์แลนด์ (Alex Garland) ได้ประกาศวางมือจากงานกำกับภาพยนตร์ โดยทิ้งให้หนังเรื่องนี้และ ‘Warfare’ หนังอีกเรื่องเป็นผลงานส่งท้ายอาชีพผู้กำกับที่เชื่อว่าหลายคนคงเสียดายไม่น้อย ยิ่งถ้าได้ชม ‘Civil War’ ที่เรากำลังพูดถึงอยู่ก็อาจจะใช้คำว่าใจหายได้เลยล่ะ

โดยเหตุการณ์พื้นหลังของ ‘Civil War’ ก็คือจินตนาการถึงสหรัฐอเมริกาในจินตนาการของการ์แลนด์ที่ถูกแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายมีวอชิงตัน ดีซี หรือ เซ็นทรัล อเมริกา ที่มีประธานาธิบดีกุมอำนาจและหวังจะรวมชาติอีกครั้ง แต่ทว่าเท็กซัส แคลิฟอร์เนียที่เป็นกองกำลังแบ่งแยกดินแดนตะวันตกกำลังรุกคืบและตั้งใจเผด็จศึกประธานาธิบดีให้ได้ภายในวันที่ 4 กรกฎาคมหรือวันชาติของสหรัฐอเมริกา แต่แทนที่การ์แลนด์จะเล่าเรื่องราวโดยอิงปฏิบัติการทางทหารหรือเอาใจไปเข้าร่วมฝักฝ่ายใด เขากลับสร้างตัวละครเอกให้มีอาชีพฐานันดรที่ 4 นั่นคือผู้สื่อข่าวสงคราม

ท่ามกลางเหตุการณ์คาร์บอมบ์สุดอันตรายทำให้ ลี (รับบทโดย เคิร์สเทน ดันส์, Kirsten Dunst) ช่างภาพสงครามฝีมือดีได้ช่วยชีวิต เจสซี่ (รับบทโดย เคลี่ สแปนี, Cailee Spaeny) ช่างภาพมือสมัครเล่นที่ถือกล้องฟิล์มนิคอนให้รอดพ้นจากอันตรายและแม้จะไม่เต็มใจนัก เจสซี่ก็ได้ร่วมเดินทางกับลี และพรรคพวกอีก 2 คนได้แก่ โจเอล (รับบทโดย แวกเนอร์ มัวร่า, Wagner Moura) ผู้ช่วยของลีและแซมมี่ (รับบทโดย สตีเฟน แม็กคินลีย์ เฮนเดอร์สัน, Stephen McKinley Henderson) นักข่าวอาวุโส โดยจุดมุ่งหมายหลักของลีคือวอชิงตัน ดีซี ที่เธอและโจเอล ตั้งใจจะบุกไปสัมภาษณ์ประธานาธิบดีให้ทันก่อนวันเผด็จศึก

เชื่อว่าอ่านเรื่องย่อแล้ว ผู้อ่านหลายคนต้องคาดหวังความเป็นหนังสงครามที่จะทำให้เราเห็นยุทธวิธีการบุกโจมตีของกองทัพพระเอกเหมือนหนังสงครามเรื่องอื่น แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่การ์แลนด์ต้องการนำเสนอกลับเป็นการทำงานของสื่อมวลชนภาคสนามที่เราจะขอเรียกสั้น ๆ ว่านักข่าวสงคราม และสิ่งที่จะเป็นปัญหาแน่ ๆ สำหรับคนที่เข้าโรงไปชม ‘Civil War’ โดยแบกความคาดหวังและความเคยชินเข้าไปคงเจอคำถามใหญ่ ๆ อยู่หลายช่วงของหนังแน่นอนเพราะหนังเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการอธิบายที่มาที่ไปของสงครามกลางเมือง ไม่ว่าจะในรูปแบบแคปชั่นตอนไตเติ้ลก่อนเริ่มหนัง หรือมีภาพข่าวมาตัดมองทาจเพื่อปูพื้นความรู้ของผู้ชมต่อสถานการณ์เบื้องหลังในภาพยนตร์

และตามความเข้าใจของผมก็คงหนีไม่พ้นว่าสาเหตุของมันก็คือการที่เรามีตัวละครนักข่าวอย่าง ลี โจเอล แซมมี่ หรือแม้แต่มือใหม่อย่างเจสซี่อยู่แล้ว ดังนั้นข้อมูลที่เราจะได้รับก็มาจากบทพูดทั้งของโจเอลกับแซมมี่ที่ตั้งคำถามถึงความโหดร้ายของประธานาธิบดีที่ทิ้งบอมบ์ใส่ประชาชนในชาติตัวเองหรือมาจากภาพที่ผ่านการลั่นชัตเตอร์ของ ลี และ เจสซี่ ท่ามกลางเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่หนังวางหมากไว้เพื่อพิสูจน์ความหมายของการเป็นสื่อมวลชน

และมันยิ่งตอกย้ำแนวคิดดังกล่าวด้วยคำพูดของแซมมี่ ที่ตั้งคำถามกลับมาที่ ลี ว่าเธอหมดศรัทธาในบทบาทสื่อมวลชนแล้วจริงหรือ หลังจากเธอพยายามข่มขู่เจสซี่ที่มองเธอเป็นไอดอลไม่ต่างจาก ลี มิลเลอร์ (Lee Miller) ช่างภาพสงครามหญิงในตำนาน และโดยปริยายที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในหนังบางช่วงจะไร้การอธิบายแต่ให้เราซึมซับร่วมกับตัวละครเอาเองทั้ง การเจอคนเสียสติและกลายเป็นคนโหดร้ายท่ามกลางสงครามในฉากปั๊มน้ำมันที่ทำให้เจสซี่หวาดกลัว ฉากสไนเปอร์ที่สุ่มยิงคนมั่วซั่วจนโจเอลไม่อาจทำความเข้าใจกับความไร้สาระของสงคราม หรือกระทั่งฉากที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเหล่าสื่อมวลชนได้เจอตัวละครทหารสุดโหดที่รับบทโดย เจสซี พลีมองต์ (Jesse Plemons) ที่มากับคำถามว่า “พวกแกเป็นอเมริกันแบบไหน ?”

BT Buzz รีวิว Civil War
BT Buzz รีวิว Civil War

ซึ่งในฉากข้างต้นเชื่อว่าหลายคนก็คงอดคิดถึงสหรัฐอเมริกาในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ไม่ได้เพราะในขณะที่โลกในหนังอเมริกาถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนเป็นเขตแดน แต่ในโลกความจริงอเมริกาหลังยุคโดนัลด์ ทรัมป์กลับเกิดรอยแตกในความรู้สึกและสร้างรอยร้าวในสังคมทีละน้อย ๆ และตัวละครของพลีมองต์ก็คือหลักฐานสำคัญแต่ไม่ใช่การหาอเมริกันแท้จริงในเชิงเชื้อชาติและแต่เป็นสิ่งที่การ์แลนด์ตั้งใจใช้ตั้งคำถามกับชาวอเมริกันถึงคุณค่าและความหมายของการเป็นชาติเสรีและดินแดนแห่งโอกาสในยุคที่ความเกลียดชังฝังรากลึกอย่างทุกวันนี้

และแม้ข้อมูลหนังที่ใช้ประชาสัมพันธ์จะเน้นย้ำคำว่าหนังทุนสร้างสูงสุดของ A24 แต่งบ 50 ล้านเหรียญที่ดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับหนังฟอร์มยักษ์ฮอลลีวูดแต่จากหลักฐานที่ปรากฎเราจะได้เห็นเลยว่างบประมาณถูกใช้อย่างชาญฉลาดผ่านการออกแบบงานสร้างของ เคที่ แม็กซี่ (Caty Maxey) บวกกับงานเทคนิคการถ่ายภาพเชิงสารคดีโดยฝีมือของ ร็อบ ฮาร์ดี (Rob Hardy) ที่เลือกกล้อง Sony ทั้งกล้องซีนีม่าอย่าง Sony VENICE 2 และกล้องมิเรอร์เลสอย่าง A7S3 มาใช้ในการพาผู้ชมตามติดการทำงานนักข่าวสงครามอย่างใกล้ชิดและชวนระทึกลืมหายใจ

นอกจากนี้แม้ดูหน้าหนังขายแอ็กชันตู้มต้ามแต่ต้องยอมรับว่าภาพรวมการแสดงของหนังออกมาแข็งแรงมากทั้งการพลิกบทบาทของ เคิร์สตัน ดันส์ ที่คราวนี้เธอถ่ายทอดบทบาทนักข่าวสงครามที่หมดศรัทธาในการเป็นสื่อได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งฝีมือความเก๋าในตอนต้นและความแหลกสลายในช่วงท้ายของหนังและตีคู่กันได้อย่างสูสีคือ เคลี่ สแปนี ในบทเจสซี่ช่างภาพสมัครเล่นที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงสู่ช่างภาพสงครามที่บันทึกความตายและหายนะได้อย่างไร้ข้อกังขาได้อย่างดี ส่วน แวกเนอร์ มัวร่า นักแสดงชาวบราซิลจากซีรีส์ ‘Narcos’ ก็ถ่ายทอดบทบาทผู้สื่อข่าวสงครามที่กระหายเรื่องเล่าได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กัน

สรุปแล้ว ‘Civil War’ ถือเป็นหนังสงครามที่ถ่ายทอดเรื่องราวของนักข่าวภาคสนามสงครามได้อย่างลึกซึ้ง โดยการเล่าเรื่องแล้วหนังให้ผู้ชมรับรู้ผ่านมุมมองของตัวละครและตั้งคำถามกับสงครามกลางเมืองที่แบ่งแยกประเทศด้วยความเกลียดชังจนเราอดเปรียบเปรยกับโลกความจริงที่กำลังถูกกัดกร่อนด้วยการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ศาสนาและภาษา จนเกิดสงครามตามพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *